The King Pharaoh ปรากฎการณ์ใหม่ของลิเวอร์พูล

The King Pharaoh ปรากฎการณ์ใหม่ของลิเวอร์พูล

ผู้ไล่ทำลายทุกสถิติที่เคยมีโม ซาลาห์เป็นใคร มาจากไหน ทำไมจึงมีชื่อขึ้นมาเป็นนักเตะแนวหน้าระดับโลก

15 มิถุนายน 1992 เด็กชาย โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็กๆ นากริก เมืองการ์เบีย ของอียิปต์ ของครอบครัวซาลาห์ ซึ่งมีฐานะแบบชนชั้นกลาง หนูน้อยซาลาห์เติบโตขึ้นมาแบบเด็กทั่วไป และค่อนข้างจะเรียนไม่ดีนัก ซึ่งนั่นทำให้พ่อแม่ของซาลาห์กังวลพอสมควร
ซาลาห์พยายามหาจุดสมดุลระหว่างการเรียนและการเล่นฟุตบอลอยู่นานพอสมควร และเขาก็พบว่าเขาไม่อาจไปต่อได้กับการเรียนปกติ แต่เขารู้สึกว่าฟุตบอลนี่แหละคือเส้นทางหลักในชีวิตของเขา ทำให้ในวัยเด็กจนวัยรุ่นเขาก็หมกมุ่นอยู่กับฟุตบอล
“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตอนอายุ 10 ขวบหรือ 11 นี่แหละ ผมอยากเป็นนักฟุตบอล ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือเปล่า มันยากจริงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกินไป
เพราะอายุเท่านั้นก็แค่เล่นฟุตบอลให้สนุก จนผมอายุ 14 ผมก็เดินทางไปไคโรและเริ่มต้นมัน ซึ่งชีวิตผมเป็นอย่างนี้เสมอ ผมไม่รู้เลยว่าหากไม่ใช่ฟุตบอลก็ไม่รู้จะไปทำอะไร”
ตอนที่ซาลาห์ไม่ได้เล่นหรือมีแข่ง เขาก็มักชอบดูเกมการแข่งขันทางทีวี ไอดอลคนแรกของเขาก็เป็นนักเตะเชื้อสายอาหรับ ซึ่งพ่อแม่นั้นอยากให้ซาลาห์ได้คิดถึงชีวิตและอาชีพอย่างจริงจังที่ไม่ใช่ฟุตบอล แต่ความปรารถนาของซาลาห์นั้นมุ่งไปทางฟุตบอลมากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ซาลาห์จะไม่ชอบการเรียน
“ผมคิดว่าการศึกษาเป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกสิ่ง ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ผมเป็นนักฟุตบอลและเป็นคนที่ดีขึ้นได้ และในประเทศของผม อียิปต์น่ะ การศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งในชีวิตให้ดีขึ้นได้จริง”
ตอนแรกๆ ซาลาห์เล่นฟุตบอลเพื่อความสนุกเท่านั้น แต่เขาต้องเปลี่ยนความคิดและจริงจังกับมันมากขึ้น เขาเริ่มเข้าไปเข้าร่วมทีมอะคาเดมีของสโมสร เอลโมคาวลูนในไคโร ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมาก
“ผมจำได้ว่า ต้องนั่งรถเมล์ถึง 5 ต่อกว่าจะไปถึงที่อะคาเดมี่ของที่นั่น มันไกลมากเลย”
ปี 2010 พอซาลาห์อายุได้ 18 ปี เขาก็ได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ในทีมชุดใหญ่ แต่โดยมากก็ต้องลงเป็นสำรองก่อน แต่เขาก็ค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าขึ้นจนกลายเป็นกองหน้าที่เริ่มมีชื่อเสียงของทีม อาชีพการงานของซาลาห์ดูท่าจะไปได้สวยขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในปี 2012 ลีกของอียิปต์เกิดปัญหาหนักมากต้องหยุดการแข่งขันไป ทำให้อนาคตของนักเตะในลีกเริ่มไม่แน่นอนขึ้นมาทันที จาก “เหตุการณ์วิวาทที่สนามพอร์ตซาอิด” ซึ่ง ณ เวลานั้นก่อให้เกิดวิกฤตทางสังคมหลายด้านลุกลามไปทั้งประเทศทีเดียว
****เหตุการณ์วิวาทที่สนามพอร์ตซาอิด เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2012 เกิดขึ้นในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลคู่ระหว่าง ทีมอัลมาสรี (Al-Masry) กับ ทีมอัลอาลี (Al-Ahly) ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 74 ราย และบาดเจ็บกว่า 1 พันคน
มีเหตุลุกลามบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะมีการประท้วงที่ตำรวจไม่อาจรักษาความปลอดภัยได้ดีพอ นักเตะและผู้อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าราวกับเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นทีเดียว****
หลังเหตุการณ์ทั้งหมดจบลง 2 เดือนต่อมา ซาลาห์โชคดีที่เวลานั้น สโมสร บาเซิลได้ยื่นข้อเสนอให้เขาในเดือนเมษายน ระยะเวลาสัญญา 4 ปี และซาลาห์ได้เปิดตัวในศึก ยูฟ่า แชมป์เปียนลีกในปีเดียวกัน
ซาลาห์เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมใน สวิสซูเปอร์ลีก และบอลถ้วยสวิสคัพ ซึ่งเขาพาทีมคว้ารองแชมป์ในฤดูกาลถัดมาและยังมีส่วนสำคัญช่วยให้บาเซิลคว้าแชมป์ถ้วย เออร์เรนคัพด้วย
“ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะไปอยู่ที่ไหนตอนนี้ ถ้าผมไม่เล่นฟุตบอล ก้าวแรกของผมคือที่อียิปต์บ้านเกิด และผมฝึกฝนจนไปเข้าตาทีมยุโรป พอผมมาที่บาเซิลแล้ว ผมก็บอกตัวเองว่า ผมต้องการเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร
บาเซิลเป็นสโมสรที่ดี แต่ผมต้องการมากกว่านั้น ผมต้องการก้าวไปข้างหน้าเสมอ ณ เวลานั้นผมก็คิดว่ามันยากในจุดเริ่มต้น แต่นั่นแหละที่ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น”
ผมมีหลายเรื่องที่ต้องทำ และต้องเสียสละหลายสิ่งอย่างมากในชีวิต ต้องทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเล่นฟุตบอลให้ดี ฟุตบอลทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเรื่องชีวิตไปเลย แม้ว่าตอนแรกมันจะใช้เวลาก็ตาม”
ซาลาห์ย้ายมาเชลซี เมื่อปลายเดือนมกราคามปี 2014 ในวัย 22 ปีและเปิดตัวกับทีมในนัดที่เจอกับนิวคาสเซิล และยิงประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อเชลซีได้ในเกมพบอาร์เซนอลในเดือนมีนาคม พอฤดูกาลใหม่จะเริ่มขึ้นในฤดูกาล 2014-15 เขาก็มีข่าวว่าจะกลับไปอียิปต์ด้วยเหตุที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร แต่เรื่องก็กลับตาลปัตรเขาได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีของอียิปต์และได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหาร
อย่างไรก็ตามที่เชลซี ซาล่าห์ยังไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบมากนักของโจเซ่ มูริญโญ
ซึ่งมูริญโญยอมรับว่าทำพลาดไปเหมือนกันที่ปล่อยซาล่าห์ออกไป เพราะคิดว่าตอนนั้นซาลาห์ยังเด็ก แม้จะมีความเร็วแต่ร่างกายดูเปราะบาง ยังไม่เหมาะกับฟุตบอลอังกฤษสักเท่าไหร่ และในตำแหน่งปีกขวาในเวลานั้น เขาก็ทำได้ไม่ดีพอในเกมใหญ่ที่ต้องเจอกับสเปอร์และแมนซิตี้
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2015 เชลซี ปล่อยซาล่าห์ในสัญญายืมตัวไปยัง ฟิออเรนติน่า 1 ฤดูกาล และในวันวาเลนไทน์ปีนั้นเองที่เขาได้ลงเปิดตัวกับสโมสรใหม่
ที่ฟลอเรนซ์ ซาลาห์ได้เลือกใส่เสื้อเบอร์ 74 เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นองเลือดในพอร์ต ซาอิด บ้านเกิดของเขา ซาล่าห์ลงสนามให้ทีมไป 26 นัดยิงได้ 9 ประตู ทำ 4 แอสซิสต์จากทุกรายการ
เขายิงประตูสำคัญได้ในยูโรปา ลีก นัดเจอกับสเปอร์ ยิงประตูชัยใส่ อินเตอร์มิลาน และที่สำคัญที่ชาวม่วงมหากาฬสะใจที่สุดก็คือนำทีมชนะ ยูเวนตุส คู่ปรับตลอดกาลในถ้วยโคปปา อิตาเลียได้ถึงเมืองตูริน
อย่างไรก็ตามดูเหมือนช่วงเวลาในทีมม่วงมหากาฬจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ซาลาห์ไม่ได้อยากอยู่ต่อที่ฟลอเรนซ์แต่อยากย้ายไปยังโรมมากกว่า
ดังนั้นในเดือนสิงหาคม 2015 เขาถูกปล่อยตัวไปให้โรม่าในสัญญายืมตัว เขาทราบดีตั้งแต่ตอนนั้นว่า เขากับเชลซีจะเป็นอดีตต่อกันแล้ว อนาคตในถิ่นสแตนฟอร์ดบริดจ์กับเขาจะเป็นภาพฝันเท่านั้น
ที่กรุงโรม ซาล่าห์ระเบิดฟอร์มการเล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจ สามารถเล่นกับเจ้าชายหมาป่า อย่างฟรานเชสโก้ ต็อตติ และ เอดิน เชโก้ได้ดีมาก ทำประตูให้โรม่าได้มากถึง 34 ประตู และอีก 22 แอสซิสต์จากการลงเล่น 83 นัด ซาล่าห์ยังสามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ลงเล่นกับโรม่าได้อีกด้วย
พอสิ้นสุดฤดูกาลแรกกับโรม่า ซาลาห์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล
โรม่าจับเขาเซ็นสัญญาถาวรทันที แต่แม้ว่าจะเซ็นสัญญาถาวรไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ของซาลาห์ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2017 เมื่อลิเวอร์พูลแสดงความสนใจที่จะดึงตัวเขามาร่วมทีมให้ได้
ปีแรกที่ย้ายมาด้วยค่าตัวที่สูง 36.5 ล้านปอนด์และมีแอดออนอีกรวมเป็น 43 ล้านปอนด์กลายเป็นสถิติของสโมสรลิเวอร์พูลทันทีในเวลานั้น ทำลายสถิติของแอนดี้ คาร์โรลลงได้ และแค่เดือนแรกที่ลงประเดิมศึกพรีเมียร์ลีกก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือน และสร้างปรากฎการณ์ ยิงคนเดียว 4 ประตูจากชัยชนะ 5-0 ใส่แตนอาละวาดวัตฟอร์ดทีเดียว ถือเป็นแฮทริกแรกของเขาในสีเสื้อแดงเพลิงอีกด้วย
เรียกได้ว่าซาลาห์ไม่ต้องใช้เวลานานสำหรับการพิสูจน์ตัวเองในพรีเมียร์ลีกอีก โดยสถิติปีแรกที่เล่นกับหงส์แดงคือยิงไปถึง 32 ประตูในลีกจากการลงสนามแค่ 36 นัด แถมยังยิงรวมทุกรายการได้ถึง 44 ประตู
นับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ซาล่าห์ ยิงให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้วถึง 134 ประตู 50 แอสซิสต์ จาก 212 นัด คว้าดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกได้ 2 ครั้ง ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมมากมายหลายต่อหลายสำนัก
ซาลาห์ได้รับการยกย่องสูงขึ้นเมื่อยิงประตูขึ้นนำสุดเพอร์เฟกต์ใส่แมนเชสเตอร์ซิตี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จนสื่อหลายสำนักยกย่องให้เขาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกในเวลานี้เมื่อเทียบฟอร์ม ณ เวลาปัจจุบัน
“ผมอยากจะเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมอยากเป็นมาก และตอนนี้ผมได้เป็นแล้ว เป็นชาวอียิปต์คนหนึ่งที่ได้ทำ ได้มีชื่อเสียงขึ้นมา ได้มาสู่ระดับนี้ ตอนนี้ทุกๆ คนคงอยากให้ลูกๆ ของเขาเป็นนักฟุตบอลบ้าง
แต่ผมพูดเสมอว่า มันไม่ได้มีแต่ฟุตบอลหรอกเรามีอาชีพดีๆ อีกมากมายที่คุณสามารถเก่งกาจได้อย่าง เป็นหมอ หรือเป็นอะไรก็ตามที่คุณอยากเป็น คุณสามารถเป็นตัวท็อปของวงการนั้นได้เหมือนกัน
แต่ใช่แน่นอนสำหรับผม คือนักฟุตบอลและตอนนี้ชาวอียิปต์และแอฟริกันจำนวนมากรักที่จะเล่นฟุตบอลกันแล้ว”
อาเหม็ด ออสซัม มิโด้ อดีตดาวเตะทีมชาติอียิปต์ ซึ่งเคยโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกอย่าง สเปอร์ มิดเดิลสโบรห์ วีแกน และบาร์นสลีย์ เคยกล่าวไว้ก่อนเขาจะอำลาพรีเมียร์ลีกไปโดยพูดถึง ซาลาห์ว่า
“ ตอนที่ผมบอกว่า ซาล่าห์นั้นเก่งกว่าเมสซี่และโรนัลโด้ มีแต่คนหัวเราะกับสิ่งที่ผมพูด แต่สุดท้ายคุณก็คงเห็นแล้วว่าผมถูกเรื่องซาล่าห์”
คำกล่าวของมิโด้ในเวลานั้น อาจจะดูเหมือนการให้ท้ายอวยรุ่นน้องแบบเกินจริง แต่สิ่งที่มิโด้พูดเอาไว้ เวลาก็ได้พิสูจน์ว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงเท่าไหร่นัก
ซาลาห์ยังมีเวลาโลดแล่นในเวทีระดับสูงอีกหลายปี และจากฟอร์มการเล่นของเขาในเวลานี้ รวมถึงสภาพร่างกายและความฟิต ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สถิติมากมายที่อดีตนักเตะหงส์แดงหลายคนเคยทำไว้นั้นมีโอกาสสูงมากที่จะโดนซาลาห์ทำลายสถิติอีกนับไม่ถ้วนแน่นอน
-The King Pharaoh Mo Salah ศูนย์หน้า มหากาฬ –
Tom Wriner

• เรื่องน่าสนใจ •

สัมภาษณ์แรกของวาตารุ เอ็นโด ‘มันคือฝันที่เป็นจริงที่ผมได้เซ็นสัญญากับทีมลิเวอร์พูล’

วาตารุ เอ็นโด อธิบายว่าเขาบรรลุความทะเยอทะยานที่มีมาอย่างยาวนานอย่างไร...