“ใครเห็นก็ว่า ตาย”

“ใครเห็นก็ว่า ตาย”

หลังเสียงนกหวีดหมดเวลาครึ่งแรกที่แอนฟิลด์ดังขึ้น …. Jurgen Klopp แม่ทัพแห่งกองทัพหงส์แดง ใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายลมเข้าสู่ห้องแต่งตัวทันที

วิธีการเคลื่อนที่ของแม่ทัพ ย่อมส่งสัญญาณไปยังเหล่าทหารในชุดสีแดงเพลิง ให้รับรู้ได้ทันทีว่า กองทัพหงส์แดง กำลังเพลี่ยงพล้ำ
ใครก็ตามที่ได้ดูเกมรับกองทัพเรือใบที่แอนฟิลด์ในครึ่งแรก ต่างก็ต้องคิดเหมือนกัน
“ดูยังไงก็แพ้แน่” เพราะหลังนาทีที่ 15 เป็นต้นไป กองทัพเรือใบสีฟ้า ครองบอลได้เหนือกว่า และใช้นักเตะที่มีความเร็วสูง ครองบอลดี ทั้ง Foden และ Grealish ผลัดกันโจมตีพื้นที่ฝั่งขวาของหงส์แดงที่จำเป็นต้องใช้ “ทหารแก่” อย่าง Milner ลงไปรับมือ จนมีหลายจังหวะที่ Alisson ต้องออกมาช่วยไม่ให้ทีมถูกนำไปก่อน
Milner อาจเป็นทหารประสบการณ์สูง ผ่านมาหลายสมรภูมิรบ จะให้ไปทำหน้าที่คุมจังหวะก็ได้ จะเป็นหน่วยจู่โจมด้านข้างก็ทำมาแล้ว และแน่นอนการประจำการในแนวหลังทั้งฝั่งซ้าย ฝั่งขวา เขาเคยรับบทบาทเหล่านี้มาหมดแล้ว … แต่นี่คือ กองทัพเรือใบ
นี่คือกองทัพที่มีหน่วยจู่โจมรวดเร็ว ดุดัน หลากหลายที่สุดในสมรภูมิพรีเมียร์ลีก แถมก่อนหมดครึ่งแรก 3 นาที นักเตะที่แฟนหงส์ชาวไทยเรียกว้า “น้า” ยังเสียใบเหลืองให้ไอ้หนุ่ม Foden จนได้
และเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ที่เหล่าขุนพลในพื้นที่กลางสนามซึ่งไม่มีตัวเลือกมากนัก ทำได้แค่การตัดเกม ไม่สามารถตั้งหลักเพื่อบุกสวนได้เลย ส่งผลให้หน่วยจู่โจมในแนวหน้า ไม่มีโอกาสสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามแม้แต่นิดเดียว
“ใครเห็นก็ว่า ตาย”
เชื่อแน่ว่า ในวงสนทนาของเหล่าพลเมืองชาวหงส์แดง ต่างพร้อมใจกันฟันธงหลังจบครึ่งแรกที่แอนฟิลด์ว่า “ต้องเปลี่ยนแบ็คขวา” อย่างแน่นอน เพราะแม้จะโชคดีที่ผ่านครึ่งทางไปด้วยผลเสมอ 0-0 แต่เสี่ยงเหลือเกินที่ “น้ามิลลี่” จะโดนไล่ออก
บางคนอาจคิดไปถึงการเปลี่ยนแปลงในแดนกลางด้วย เมื่อมีชื่อ Keita อยู่ที่ข้างสนาม
*****
แต่แม่ทัพที่ผ่านสมรูมิรบสุดโหดมามากมายอยาง Klopp ไม่ทำแบบนั้น … เหล่าทหารในชุดหงส์แดง กลับลงสนามในครึ่งหลังด้วยตัวผู้เล่นชุดเดิม
คนเดิม แต่วิธีการเล่นไม่เหมือนเดิม … นั่นหมายความว่า Klopp ยังเชื่อว่า เขายังไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนตัว แต่ต้องเปลี่ยนวิธีการเล่นต่างหาก แล้วเกมโคตรคุณภาพระดับ 5 ดาว ระหว่างกองทัพหงส์แดงกับกองทัพเรือใบสีฟ้า ก็ถูกถ่ายทอดผ่านสายตาแฟนบอลทั่วโลกตลอด 45 นาทีหลัง
“ครึ่งแรก ดูเหมือนเราจะสู้ซิตี้ไม่ได้เลย ผมจำไม่ได้เลยว่าเรามีโอกาสยิงพวกเขาบ้างหรือไม่ และผมดีใจมากที่ได้ยินเสียงนกหวีดหมดเวลาดัง เพื่อที่เราจะได้ไปปรับแก้กัน ส่วนในครึ่งหลังเราเริ่มรู้แล้วว่าจะสู้กับเขายังไง”
คำให้สัมภาษณ์หลังเกมของ Klopp ยืนยันตรงกับภาษากายที่เขาแสดงออกในช่วงหมดเวลาครึ่งแรกได้เป็นอย่างดี
“ในครึ่งแรก เราไม่ได้เล่นบอลกันเลย และเรื่องนี้มันผิด เราต้องกลับมาเริ่มต้นเล่นบอลของเราในครึ่งหลัง เราทำได้ทันที ทำให้ซิตี้ได้ออกแรงวิ่งแต้องออกแรงป้องกันบ้าง และมันให้ผลที่ต่างออกไป”
ในเมื่อแดนกลางไม่สามารถเก็บบอลได้ ดูเหมือนว่า Klopp สั่งให้ทหารของเขาโจมตีกองทัพเรือด้วยลูกยาวมากขึ้น สั่งให้พวกหน่วยจู่โจมที่มีความคล่องตัว มีความรวดเร็วไม่แพ้ฝ่ายตรงข้าม หันมาใช้ความสามารถเฉพาะตัวมากขึ้น ไปกับบอลเองแทนการต่อบอลมากขึ้น
และให้ Henderson ลงมาช่วยซ้อนเกมรับทางฝั่งขวามากขึ้น
ถ้าดูจากตำแหน่งการเล่นของผู้เล่นซิตี้ในเกมนี้ ที่ถูกสรุปไว้โดยเว็บไซต์ whoscored.com จะเห็นว่า มีผู้เล่นของพวกเขา 4 คน มาช่วยกันขึ้นเกมรุกทางซ้าย หรือมารุมโจมตีที่ฝั่งแบ็คขวาของลิเวอร์พูล คือ Foden ,Geralish ,Bernado และ Cancelo ส่วนอีกฝั่งมีเพียง 2 คนเท่านั้น คือ Jesus กับ De Bruyne
แม้จะเสี่ยงกับการได้ใบแดง แต่การมี Milner อยู่ในสนาม ย่อมส่งผลดีกับการสร้างเกมรุกทางฝั่งขวามากกว่าการใช้ Joe Gomez ในเมื่อ Klopp เลือกกลยุทธ์ที่จะกดดันให้กองทัพเรือใบต้องถอยลงไปเล่นเกมรับบ้าง เขาจึงเลือกที่เก็บ Milner ไว้ต่อไป
และแผนของ Klopp ก็ไม่เสียเปล่า เมื่อ Mo Salah โจมตีย้อนศรทางฝั่งเดียวกันนี้ ยกบอลผ่าน Cancelo ที่ลอยขึ้นสูง ก่อนลากจี้เข้าหาประตูและผ่านบอลให้ Mane ยิงเข้าไป เป็นประตู 1-0
เกมหลังจากนั้น คือ การแลกเปลี่ยนกลยุทธ์การโจมตีของสองกองทัพที่มีหน่วยจู่โจมอันตรายที่สุดมาดวลกัน
ผลจบเสมอกัน 2-2 ประตู …. กองทัพหงส์แดง โดย Mo Salah โชว์ศักยภาพการจู่โจม ด้วยการเจาะตาข่ายซิตี้ได้ 2 ประตู ทั้งที่ 6 เกมก่อนหน้านี้ พวกเขาเสียไปเพียงประตูเดียว
ส่วนกองทัพเรือใบ ก็ประสบความสำเร็จในการโจมตีพื้นที่แบ็คขวาของหงส์แดงจนได้ประตู 1-1 แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการลากบอลตัดจากฝั่งตรงข้ามเข้ามา ทำให้ Foden มีพื้นที่ มีเวลาพอที่จะยิงเข้าไป
การแก้เกมของ Klopp เป็นผลก็จริง ทีมเก็บบอลได้มากขึ้น บุกมากขึ้น สามารถขึ้นนำก่อน 2 ครั้ง และเกือบชนะถ้าลูกยิงจ่อๆหน้าปากประตูในช่วงท้ายเกมไม่มีปาฏิหารย์จาก Rodri มาขวางไว้ทัน
แต่การเลือกเก็บ “น้าเจมส์” ไว้ ก็เกือบต้องแลกด้วยใบแดงเช่นกัน
จากที่มองกันว่า แพ้แน่
Klopp แก้เกมมา จนคิดไปถึง 3 คะแนนได้เลย … แต่ Guardiola ก็มีดีพอที่จะเก็บแต้มออกไปจากแอนฟิลด์ได้
ด้วยตัวเลือกที่มีอยู่ทั้งในตำแหน่งแบ็คขวา และในตำแหน่งกองกลาง … ด้วยรูปเกมในครึ่งแรก
เอาเป็นว่า นี่เป็นอีกเกมที่ Klopp ได้แสดงให้เห็นว่าเขามีดีแค่ไหน
– มารชรา –

• เรื่องน่าสนใจ •

สัมภาษณ์แรกของวาตารุ เอ็นโด ‘มันคือฝันที่เป็นจริงที่ผมได้เซ็นสัญญากับทีมลิเวอร์พูล’

วาตารุ เอ็นโด อธิบายว่าเขาบรรลุความทะเยอทะยานที่มีมาอย่างยาวนานอย่างไร...